วิธีปลูก มะเขือเทศ ฉบับจับมือทำ !

มะเขือเทศเป็นพืชฤดูเดียว สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่จะเจริญได้ดีและให้ผลผลิตสูงในฤดูหนาว ซึ่งบทความนี้จะรวบรวมข้อมูล วิธีปลูก มะเขือเทศ ตั้งแต่ การปลูก โรคแมลง และ ต้นทุนการผลิต

สภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการเจริญ

  • เจริญได้ในดินทุกชนิด แต่ที่เหมาะที่สุด คือ ดินร่วน
  • ดินมีอินทรียวัตถุสูง ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี
  • มีค่าความเป็นกรดด่างของดิน (pH) ประมาณ 4.5 – 6.8
  • อุณหภูมิที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตที่สุด คือช่วง 18 – 28 องศาเซลเซียส  ถ้าอุณหภูมิกลางคืน สูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้มะเขือเทศติดผลได้น้อย

ชนิดและพันธุ์ของมะเขือเทศ โดยแบ่งตามลักษณะการใช้งาน

  • ประเภทรับประทานสด

มีทั้งแบบผลเล็กและผลโต พันธุ์ผลโต มีผลทรงกลม โต ผลสีเขียว มีไหล่เขียว เมื่อสุกจะสีแดงจัด มีช่องในผลมาก ไม่กลวง เนื้อหนาแข็ง เปลือกไม่เหนียว คือ พันธุ์ฟลอราเดล พันธุ์มาสเตอร์ เบอร์ 3

พันธุ์ผลเล็ก มีขนาดเล็ก รสชาติเปรี้ยว คือ

  • ประเภทส่งโรงงานอุตสาหกรรม

เป็นมะเขือเทศพันธุ์เนื้อ มีรสเปรี้ยวจัด มีเปอร์เซ็นกรดสูง ผลสุกไล่เลี่ยกันเกือบทั้งต้น เนื้อแน่น เปลือกเหนียว ไม่แตกช้ำง่าย เช่น พันธุ์ VF 134-1-2 พันธุ์ P 502 พันธุ์ P 600

การเตรียมดิน และแปลงปลูก

ไถดินลึกประมาณ 30 – 40 เซนติเมตร ควรไถ 2 ครั้ง ตากดิน 3 – 4 สัปดาห์ แล้วย่อยดินให้ละเอียด หากมีการใส่ปูนขาว เพื่อปรับความเป็นกรดด่างของดิน ควรใส่ปูนขาวก่อนปลูกประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ ปรับระดับดินให้เสมอกัน  เพราะหากเป็นหลุมหรือแอ่ง อาจทำให้เกิดน้ำขังและต้นกล้าเน่าตายได้ ยกแปลงปลูก 30 เซนติเมตร กว้าง 1 เมตร ควรคลุมแปลงเพื่อกันวัชพืชและรักษาความชื้นในดิน

การปลูก สามารถทำได้หลายวิธี

  • การเพาะในกระบะเพาะ

เหมาะกับการเพาะเมล็ดพันธุ์ที่มีราคาแพง เนื่องจากใช้ดินในปริมาณน้อย จึงสามารถฆ่าเชื้อในดินได้ โดยใช้ คลอไรด์พิตรินต่อน้ำ อัตรา 1 : 2000 นำไปรดดินก่อนปลูก 2 สัปดาห์ หรือตากดิน 3 – 4 สัปดาห์ นำดินที่เตรียมไว้ก่อนหน้าผสมกับปุ๋ยคอกและแกลบ อัตรา 3:1:1 หยอดเมล็ดแล้วกลบด้วยแกลบหรือทรายบางๆ รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ อาจใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงผสมน้ำรดอีกที เพื่อป้องกันมดคาบเมล็ดไปกิน เช่น คาร์โบซัลแฟน ไดโนทีฟูแรน เป็นต้น เมื่อเมล็ดเริ่มงอกใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น แคปแทน เมทาแลกซิล ไทแรม เป็นต้น และ  เมื่อต้นกล้าอายุได้ 15 วัน หรือมีใบจริง 2 ใบ ให้ย้ายกล้าลงใส่ถุงพลาสติกขนาด 4*6 นิ้ว ถ้าไม่ย้ายกล้าลงถุง ควรชำกล้าเป็นแถวในแปลงชำ เมื่อกล้าอายุ 30 – 40 วัน หรือสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ย้ายลงแปลงปลูก

  • การเพาะในแปลงเพาะ

เหมาะกับต้องการต้นกล้าในปริมาณมาก ขนาดแปลง กว้าง 1 เมตร ความยาวขึ้นกับขนาดพื้นที่ ทางเดินระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร โรยเมล็ดเป็นแถวห่างกันประมาณ 10 เซนติเมตร เมื่อต้นกล้าอายุได้ 20 -25 วัน หรือมีใบจริง 2 – 3 ใบ ย้ายลงแปลงปลูก

ที่แปลงเพาะควรมีตาข่ายพรางแสงหรือผ้าดิบคลุมแปลง เพื่อกันแดด ลม และฝน ควรเปิดให้แปลงรับแสงช่วงเช้าจนถึง 9.00 น. และเปิดอีกครั้งหลัง 16.00 น. หรืออาจใช้ฟางข้าวใหม่มาคลุมหลังโรยเมล็ด เมื่อเมล็ดงอก ให้เอาฟางออก

  • การหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง

เหมาะกับพื้นที่ที่ใกล้แหล่งน้ำ สามารถให้น้ำได้สะดวก แต่จะเสียเวลาและแรงงานในการดูแลรักษามากกว่าวิธีอื่น ใช้เมล็ดพันธุ์ 80 – 100 กรัม ต่อไร่

ระยะปลูกที่เหมาะสม

ปลูกเป็นแถวคู่ ระยะห่างระหว่างแถว 70 เซนติเมตร ระหว่างต้น 50 เซนติเมตรถ้าใช้ระยะปลูกที่แคบเกินไป จะทำให้การควบคุมโรคและการดูแลแปลงลำบาก ในฤดูฝนควรใช้ระยะปลูกห่าง เนื่องจากต้นพืชจะเจริญได้ดี มีทรงพุ่มสูงใหญ่กว่าฤดูอื่น ๆ

การให้น้ำ

สำหรับต้นกล้า หลังย้ายกล้า รดน้ำให้ชุ่ม เช้า  – เย็น เมื่อกล้าตั้งตัวได้แล้ว รดวันละครั้ง อย่างสม่ำเสมอจนถึงผลเริ่มแก่ (ผลเริ่มเปลี่ยนสี) หลังจากนั้นให้ลดการให้น้ำลง เพราะในระยะนี้หากให้น้ำมากเกินไป อาจทำให้ผลแตกได้ และดินอาจชื้น แล้วเกิดการเข้าทำลายของเชื้อรา

การพรวนดินกลบโคนต้น

สำหรับแปลงที่ไม่ได้คลุมด้วยพลาสติก ควรทำการพรวนดินกลบโคนต้น โดยเปิดเป็นร่องระหว่างแถวเพื่อให้ให้น้ำสะดวก และทำให้รากเกิดมากขึ้น หลังจากทำครั้งแรกไปแล้ว 1 เดือน ให้ทำการกลบโคนอีกครั้ง

การใส่ปุ๋ย

อาจรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก และปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 20 กรัมต่อหลุม

หลังจากนั้นใส่เสริมอีกเพื่อเพิ่มคุณภาพและผลผลิต โดยใส่ตามสภาพของดิน เช่น

ดินเหนียว อาจใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 15-30-15 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่

ดินร่วน อาจใส่ปุ๋ยสูตร 10-20-15 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่

ดินทราย อาจใส่ปุ๋ยสูตร 15-20-20 หรือ 13-13-21 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ โดย อาจแบ่งใส่ 3 ครั้ง ดังนี้

ครั้งที่ 1 หลังย้ายปลูก 7 วัน

ครั้งที่ 2 หลังจากครั้งที่ 1 แล้ว 15 วัน

ครั้งที่ 3 หลังจากครั้งที่ 2 แล้ว 20 วัน

การปักค้าง

การปักหลักหรือทำค้างควรเริ่มทำหลังจากใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ก่อนดอกออก โดยเชือกผูกกับลำต้นให้ไขว้กันเป็นเลข 8 และผูกเงื่อนกระตุกกับค้าง เพื่อให้ต้นเจริญได้ดี สะดวกต่อการดูแลรักษา และผลไม่สัมผัสดิน สะดวกต่อการเก็บเกี่ยว

การตัดแต่งกิ่ง

ตัดแต่งกิ่งเหลือไว้เพียง 1 – 2 กิ่ง สำหรับพันธุ์ที่ปลูกเพื่อรับประทานสด ผลจะออกทยอยตามกิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ หากมีผลมากเกิน ควรปลิดผลออก ให้เหลือต้นละประมาณ 15 – 20 ผล หากไม่ตัดแต่งกิ่งอาจเป็นโรคมาก และผลที่ได้จะมีขนาดไม่สม่ำเสมอ สำหรับพันธุ์ที่ปลูกเพื่อส่งโรงงาน ส่วนมากเป็นพันธุ์ทรงพุ่มเตี้ย จึงไม่ต้องมีการตัดแต่งกิ่งหรือปักค้าง

การเก็บเกี่ยว

ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 75 – 90 วันหลังเพาะเมล็ด ซึ่งระยะเริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยวจะใช้เวลาประมาณ 4- 5  เดือน หากเก็บส่งตลาด ควรเก็บในระยะที่ไม่แก่จัดหรือห่าม ผลมีสีเขียวและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูบ้าง และควรมีขั้วติดผลมาด้วย จะทำให้ทนทานต่อการขนส่ง ไม่ช้ำง่ายและเก็บไว้ได้นาน เมื่อถึงวางขายก็จะเริ่มสุกพอดี

ส่วนการเก็บส่งโรงงานอุตสาหกรรมนั้นต้องเก็บในระยะผลสุกเป็นสีแดงหรือสีส้มทั้งผล (ขึ้นอยู่กับพันธุ์) และเก็บไม่ให้มีขั้วผลติดมากับผลด้วย

เทคนิคการเก็บเกี่ยว

หลังจากเก็บเกี่ยวผลมะเขือเทศ ถ้าต้องการผิวสวย เก็บไว้ได้นานขึ้น เปอร์เซ็นต์การเน่าน้อยลง ควรเช็ดผิวมะเขือเทศด้วยน้ำปูนใส เช็ดให้สะอาด แล้วผึ่งลมให้แห้ง ในที่ร่ม

โรคและศัตรูที่สำคัญของมะเขือเทศ

โรคกล้าเน่าหรือเน่าคอดิน

แบ่งอาการได้เป็น 2 ระยะ

ระยะแรก หรือ ระยะก่อนงอก จะเข้าทำลายตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดหรือเมล็ดงอกใหม่ ยังไม่โผล่พ้นดิน

ระยะที่สอง หรือ ระยะหลังงอก จะทำให้ต้นหักพับในระดับผิวดิน เรียก เน่าคอดิน ถ้าเข้าทำลายด้วยเชื้อRhizoctonia sp. ต้นจะคอดกิ่วสีดำหรือน้ำตาล แผลค่อนข้างแห้ง ถ้าเข้าทำลายด้วยเชื้อ Pythium sp. ที่โคนจะช้ำ แผลฉ่ำน้ำ และเน่ายุบ

เกิดจาก เชื้อราในดิน เช่น  Rhizoctonia   หรือ Pythium aphanidermatum

วิธีป้องกันกำจัด

  • คลุกเมล็ดด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เมทาแลกซิล ไทแรม เป็นต้น
  • แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 – 55 องศาเซลเซียส นาน  15 – 20 นาที
  • ไม่รดน้ำมากเกินไป
  • ถ้าพบการระบาดของโรค ราดดินด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เมทาแลกซิล ไทแรม เป็นต้น

โรคกล้าเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Rhizoctonia solani

โรคกล้าเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Pythium aphanidermatum

โรคผลเน่าแห้งหรือปลายผลดำ

ผลมีอาการเน่าแห้ง ช้ำเป็นสีน้ำตาลที่ก้นผล เนื้อบุ๋มลงไปเล็กน้อย และขยายใหญ่ออก ถ้ามีการเข้าทำลายซ้ำจากเชื้อราหรือแบคทีเรียจะทำให้เน่าเละ

เกิดจาก การขาดธาตุอาหารแคลเซียม มักเกิดในดินที่เป็นกรดจัด

วิธีป้องกันกำจัด

ใส่หินปูนหรือปูนขาว เพื่อแก้ปัญหาดินกรด หรือ ใส่ แคลเซียมโบรอน เมื่อเริ่มติดผล

ผลมะเขือเทศที่มีอาการปลายผลก้นเน่า

โรคราแป้ง

ใบจะมีสีเหลืองไม่สม่าเสมอกัน ใบที่มีสีเหลืองมาก ๆ จะร่วงหล่นได้ง่าย จะเห็นเป็นผงหรือฝุ่นแป้งสีขาว  กระจัดกระจายทั่วไปทางด้านท้องใบ

วิธีป้องกันกำจัด

ใช้ คาร์เบนดาซิม หรือ แมนโคเซป ฉีดป้องกัน หรือกำจัด ทุก 5 – 7 วัน

โรคแอนแทรคโนส

มักเกิดที่ผล จะเกิดเป็นจุดบุ๋ม กลางแผลมีสีน้ำตาล เมื่อเป็นรุนแรงผลจะแตกและเน่าเละได้

วิธีป้องกันกำจัด

ในระยะก่อนเก็บเกี่ยว พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น สารกลุ่มรหัส 1, 3, 6 สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ แนะนำสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช และวิธีการสลับยา(ป้องกันการดื้อยา)

ผลมะเขือเทศที่เป็นโรคแอนแทรคโนส

โรคใบหงิกเหลืองที่เกิดจากไวรัส

ถ้าเกิดในระยะที่ยังไม่ออกดอก จะไม่ให้ผลผลิตเลย จะแสดงอาการใบยอดหงิกเหลือง ม้วนงอ ใบเล็กลง ยอดเป็นพุ่ม ต้นแคระแกร็น

พาหะ : แมลงหวี่ขาว

วิธีป้องกันกำจัด

คลุกเมล็ดด้วยสารป้องกันกำจัดแมลงปากดูด เช่น คาร์โบซัลแฟน อิมิดาคลอพริด

ตรวจแปลง และกำจัดต้นที่เป็นโรคออก

พ่นสารป้องกันกำจัดแมลงปากดูด ที่มีประสิทธิภาพต่อแมลงหวี่ขาว เช่น อิมิดาคลอพริด ฟิโพรนิล เฟนโพรพาทริน คาร์โบซัลแฟน

โรคใบหงิกเหลืองมะเขือเทศ

ต้นทุนการปลูกมะเขือเทศ

เป็นต้นทุนการผลิตโดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นกับพื้นที่ที่เพาะปลูกด้วย

ค่าเมล็ดพันธุ์ 1000
ค่าเตรียมดิน 1600
ค่าปุ๋ย 1000
ค่าสารป้องกันกำจัดโรคพืชและแมลง 1000
ค่าวัสดุ 1000
ค่าแรงงานการเก็บเกี่ยว 3700
รวม 9300

ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร

แอดไลน์มาสิ ! คุณจะไม่พลาดข่าวสารสำคัญๆ หรือ สอบถาม แบบสั้นๆเข้าใจง่ายไว้ในบทความนี้ วิธีปลูก มะเขือเทศ เพิ่มเติม

เกษตรสมบูรณ์ บริการให้คำปรึกษาด้านการเกษตร และ จำหน่าย ปุ๋ย ยา และ เมล็ดพันธุ์ผัก เช่น ศรแดง เจียไต๋ และตะวันต้นกล้า ราคาปลีกและส่ง พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ 

ID Line : @uox0813g

Facebook : www.facebook.com/kasetsomboonstore

Facebook : fb.me/kasetsomboonstore

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *